เลือก Wearable Device อย่างไรให้เหมาะกับคุณ

 

wearable-device-all
 

นับว่าช่วงนี้เป็นยุคของ Wearable Device หรืออุปกรณ์สวมใส่ดิจิตอลเพื่อสุขภาพ ที่มีออกมาให้เลือกหลายแบบ หลายสไตล์ แต่คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าอุปกรณ์ตัวไหนที่เหมาะกับความต้องการของคุณ ดังนั้นเรามาทำความเข้าใจกับเรื่องกันดีกว่า

 

Wearable Device คืออะไร?

หากจะให้ความหมายโดยรวมของ Wearable Device ที่สามารถเข้าใจง่ายๆ คงหมายถึง อุปกรณ์สวมใส่เข้ากับร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของนาฬิกา, แว่นตา, กำไรข้อมือ, สายรัดข้อมือ ฯลฯ โดยมันจะทำหน้าที่ตรวจวัดค่าต่างๆ ด้านสุขภาพ หรือแสดงผลข้อมูล การแจ้งเตือน ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน หรือไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน โดยมันสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ต หรือซิงค์ข้อมูลกับคอมพิวเตอร์ และสมาร์ทโฟนได้ ซึ่งภายในระบบคอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋ว ที่ประกอบด้วยหน่วยประมวลผล เซนเซอร์ต่างๆ และหน่วยความจำ เพื่อใช้บันทึกข้อมูล และสามารถแสดงผลบนหน้าจอได้ หรือบางรุ่นก็ไม่มีหน้าจอต้องซิงค์ร่วมกับสมาร์ทโฟนเพื่อดูข้อมูล โดย Wearable Device จะมีทั้งแบบที่ต้องเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน และแบบที่ไม่ต้องพึ่งการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้อีกด้วย

 

Wearable Device มีกี่ประเภท?

และคำถามถัดมาที่หลายคนสงสัยคือ Wearable Device มันมีกี่ประเภท แล้วแต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร เราควรเลือกใช้แบบไหนถึงจะเหมาะกับการใช้งาน ซึ่งจะขอแบ่งตามประเภทการใช้งานดังนี้เลยครับ

 

สายรัดข้อมือ Smart Band

Sony-smartwatch3-03

สำหรับ Wearable Device แบบ Smart Band หรือที่เป็นสายรัดข้อมือนั้น ส่วนใหญ่จะออกแบบมาเพื่อการใช้งานสำหรับคนรักสุขภาพ เพราะมันจะเน้นไปที่การตรวจจับสุขภาพของเรา ไม่ว่าจะเป็น การนับจำนวนก้าวเดินหรือวิ่งในแต่ละวัน เพื่อคำนวณการเผาผลาญแคลอรี่, วัดระยะทางได้ด้วย GPS, ตรวจจับการนอนว่าเราหลับสนิทไปกี่ชั่วโมง, ตั้งปลุกโดยให้สั่นเตือนได้ หรือกระทั่งคำนวนแคลอรี่จากอาหารที่รับประทานเข้าไป โดยซิงค์ข้อมูลร่วมกับสมาร์ทโฟน ทั้งนี้บางรุ่นก็สามารถใช้ควบคุมการเล่นเพลงได้อีกด้วย รวมถึงยังสามารถแชร์ข้อมูลไปยังโซเชียลเน็ตเวิร์คเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์กันผู้ใช้ร่วมกัน ทำให้เกิดความท้าทายมากยิ่งขึ้น

 
Smart Band ยังถูกแบ่งย่อยออกไปหลายรูปแบบ ทั้งแบบที่เป็นกำไร หรือสายรัดข้อมือที่ไม่มีหน้าจอ และแบบที่มีจอแสดงผลในตัว ซึ่งก็ต่างดีไซน์ออกมาให้เป็นเครื่องประดับไฮเทคไปในตัว

 
คุณสมบัติหลักๆ ที่ Smart Band ต้องมี
• ตรวจวัดจำนวนก้าวเดิน/วิ่งได้
• มี GPS วัดระยะทาง
• ตรวจจับการนอน
• คำนวณการเผาผลาญแคลอรี่
• ซิงค์ร่วมกับสมาร์ทโฟนได้
• แบตเตอรี่อยู่ได้นานอย่างน้อย 7 วัน ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (รุ่นที่มีหน้าจออาจจะน้อยกว่า)

*หมายเหตุบางรุ่นอาจจะไม่มีคุณสมบัติบางอย่าง

 
Smart Band เหมาะกับใคร : เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนรักสุขภาพ เน้นใส่ติดตัวไว้ตลอดเวลา เพราะตรวจวัดการเผาผลาญแคลอรี่ จากกิจกรรมต่างๆ รวมถึงตรวจจับการนอนว่าเรานอนหลับไปกี่ชั่วโมง เพียงพอกับการพักผ่อนแล้วหรือยัง และที่สำคัญใครที่ไม่อยากวุ่นว่ายกับการโหลดแอพ ตั้งค่าให้มากมาย รวมถึงไม่ต้องเสียเวลาชาร์จแบตทุกวัน Smart Band ก็ตอบโจทย์คุณได้แล้วครับ

 

นาฬิกาอัจฉริยะ Smart Watch

AplWatch42_34R_HomeScreen_HERO

สำหรับ Smart Watch หรือนาฬิกาอัจฉริยะ ซึ่งแน่นอนว่ามันใช้สวมใส่แทนนาฬิกาข้อมือได้เลย แต่สิ่งที่เหนือกว่านาฬิกาคือมันจะมาพร้อมหน้าจอที่สามารถสัมผัสที่ควบคุมแอพพลิเคชั่นต่างๆ ภายในตัวได้ หรือบางรุ่นก็อาจจะใช้ปุ่มแทนหน้าจอสัมผัส โดยความสามารถหลักๆ ก็จะคล้ายกับ Smart band ในการตรวจวัดสุขภาพต่างๆ แต่จะเพิ่มเซนเซอร์ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจขึ้นมา เซนเซอร์วัดระดับความสูง  เซนเซอร์วัดอุณหภูมิ เซนเซอร์วัดรังสียูวี และในบางรุ่นสามารถใส่ซิมเพื่อโทรออกและเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในตัวได้อีกด้วย สิ่งสำคัญอีกอย่างของ Smart Watch คือระบบปฏิบัติการในตัว ที่จะใช้ขับเคลื่อน ซึ่งในปัจจุบันมีระบบปฏิบัติการที่ออกแบบมาโดยเฉพาะอย่าง Android Wear และ Tizen (Samsung) และในต้นปี 2015 ก็จะมี Apple Watch ออกมาอีก 1 แพลตฟอร์ม ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอพพลิเคชั่นเพิ่มเติมได้เช่นเดียวกับสมาร์ทโฟน

 
คุณสมบัติหลักๆ ที่ Smart Watch ต้องมี

• ใช้สวมใส่แทนนาฬิกาข้อมือ
• ตรวจวัดจำนวนก้าวเดิน/วิ่งได้
• มี GPS วัดระยะทาง
• มีหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่
• ควบคุมผ่านหน้าจอระบบสัมผัส หรือปุ่มควบคุม
• คำนวณการเผาผลาญแคลอรี่
• มาพร้อมเซนเซอร์ วัดอัตราการเต้นของหัวใจ, วัดระดับความสูง, วัดอุณหภูมิ, วัดรังสียูวี
• บางรุ่นใส่ซิมโทรศัพท์ได้
• ซิงค์ร่วมกับสมาร์ทโฟนได้
• มีแอพพลิเคชั่น และติดตั้งเพิ่มเติมได้
• แบตเตอรี่อยู่ได้นานอย่างน้อย 1-2 วัน ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (บางรุ่นอยู่ได้ถึง 7 วัน เพราะใช้หน้าจอแบบ E-Paper)

*หมายเหตุบางรุ่นอาจจะไม่มีคุณสมบัติบางอย่าง

 
Smart Watch เหมาะกับใคร : ผู้ที่จะใช้ Smart Watch คือผู้ที่ต้องการฟังก์ชั่นที่หลากหลาย ครบครัน และต้องการติดตั้งแอพพลิเคชั่นเพิ่มเติมลงในตัวเครื่องได้ โดยใช้แทนนาฬิกาข้อมือ และต้องการความสะดวกในการเข้าถึงการแจ้งเตือนต่างๆได้ทันที โดยไม่ต้องยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู หรือบางคนที่อยากใช้แบบโทรศัพท์ได้ในตัวก็มีให้เลือกครับ

 

เสื้ออัจฉริยะ Smart Shirt

ralph-lauren-wearable-2014-08-25-01

นอกเหนือจากนาฬิกา หรือสายรัดข้อมือที่ Wearable Device สามารถพัฒนาเข้าถึงมนุษย์ได้แล้ว ยังก้าวล้ำไปถึงเสื้อผ้าที่เราสวมใส่ ล่าสุด Ralph Lauren Polo เตรียมที่จะผลิตเสื้อ Polo Tech shirt ที่สามารถตรวจจับ อัตราการเต้นของหัวใจ, อัตราการหายใจ รวมถึงสเต็ปการเคลื่อนไหวของร่างกาย โดยจะมีเซนเซอร์ติดอยู่กับเสื้อ และเส้นใย Biosensing Silver Fiber เพื่อตรวจจับ แล้วเชื่อมต่อบลูทูธเพื่อส่งข้อมูลไปยังแอพบน iPhone/iPad ซึ่งสามารถถอดออกได้เมื่อถึงเวลาต้องซักเสื้อ

 

Smart Shirt เหมาะกับใคร : เหมาะกับนักกีฬา หรือผู้ที่รักสุขภาพ ที่ต้องการทราบข้อมูลประสิทธิภาพการออกกำลังกายอย่างละเอียด เพื่อใช้ในการกำหนดเป้าหมายในการออกกำลังกายให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นเรื่อยๆ

 

แว่นตาอัจฉริยะ Glasses


google-glass-sport
Wearable Device อีกประเภทที่เกิดขึ้นจริงแล้วคือ แว่นตาอัจฉริยะ อย่าง Google Glass ที่ผู้ส่วมใส่ สามารถดูข้อมูลผ่านหน้าจอเล็กๆ ใกล้ดวงตา โดยที่เราสามารถมองทะลุไปยังภาพจริงข้างหน้าได้อยู่ เหมือนสวมแว่นตาปกติ แต่มันสามารถแสดงผลข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นทั้งเส้นทางที่จะเดิน สภาพการจราจร ข่าว และข้อมูลอื่นๆ ที่หาได้จากเน็ต การควบคุมจะใช้การรับคำสั่งด้วยเสียงเป็นหลัก และต้องเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน นอกจากนี้ยังมีกล้องที่สามารถบันทึกภาพกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นมุมมองเดียวกับสายตาของเรา โดยสามารถถ่ายแล้วแชร์ไปยังโซเชียลเน็ตเวิร์คได้ทันที แม้ว่าตอนนี้ Google Glass จะวางจำหน่ายไปบ้างแล้วในบางประเทศ แต่ด้วยราคาที่ค่อยข้างสูงมาก จึงอาจจะยังไม่เป็นอุปกรณ์ที่นิยมใช้มากเท่ากับ Wearable Device ประเภทอื่น

google_glass_golf_01
ภาพในมุมมองจาก Google Glass

 
Google Glasses เหมาะกับใคร : อันนี้ตอบได้ไม่ยาก เหมาะสมกับคนมีตังค์เหลือใช้ที่สุดครับ 555 เอาจริงๆ ก็คงเหมาะกับคนที่ต้องการข้อมูลแนะนำในแบบทันทีทันใด หรือจะเป็นนักกอล์ฟซึ่งกูเกิ้ลก็มีฟีเจอร์รองรับสำหรับนักกอล์ฟโดยเฉพาะอีกด้วย หรือใครที่ชอบผจญภัยก็สามารถใช้มันเก็บบันทึกภาพในเวลาที่กำลังปีนเขา หรือล่องแก่ง ซึ่งเป็นกิจกรรมโลดโผนที่ไม่สามารถใช้กล้องถ่ายภาพได้ และอนาคตก็จะมีฟีเจอร์ที่รองรับการทำกิจกรรมต่างๆ ได้มากยิ่งขึ้น

 
 

[TME2014] รวมโปรโมชั่น Wearable Device รุ่นล่าสุด พร้อมพาไปสัมผัส Android Wear ก่อนใคร

 

เริ่มงาน Thailand Mobile Expo 2014 Showcase กันแล้วนะครับ โดยงานนี้จะจัดไปจนถึงวันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม นี้ ใครที่กำลังเล็ง Wearable Device สุดไฮเทคอยู่ละก็ เราเดินสำรวจโปรโมชั่นมาให้แล้ว เลิกงานวันนี้ ก็จะได้พุ่งตรงไปที่บูตไม่ต้องเดินหาให้เสียเวลากันนะครับ

 

Samsung Gear S

เริ่มกันที่ Samsugn Gear S ที่ถือว่าเป็นไฮโลต์ที่สุดของ Wearable Device ในครั้งนี้เลย เพราะมันเป็น Smart Watch ที่ใส่ซิมได้ตัวแรกของซัมซุง โดยงานนี้เปิดให้ผู้ที่ซื้อหรือจอง Galaxy Note 4 ได้บัตรกำนันมูลค่า 3,000 บาท ไว้เป็นส่วนลดซื้อ Samsung Gear S ซึ่งจะวางขายปลายเดือนตุลาคมนี้ ในราคา 11,900 บาท มี 2 สี คือดำ และ น้ำเงินเข้ม

Gear-S-08

 

แอพพื้นฐานใน Gear S บนหน้าจอโค้งรับกับข้อมือ (ดูสเปก Samsung Gear S)

Gear-S-01

 

รองรับแป้นคีย์บอร์ดภาษาไทยแล้ว แต่ปุ่มอาจจะเล็กหน่อย แต่ก็เอาไว้ใช้โพสต์สเตตัสเบาๆ หรือตอบข้อความสั้นๆ ได้ โดยไม่ต้องพึ่งสมาร์ทโฟน

Gear-S-02

 

ปุ่มกดเบอร์โทรศัพท์ก็ใหญ่ โทรออกได้สะดวก แต่เวลาคุยจะต้องผ่านลำโพงในตัว หรือจะเชื่อมต่อกับหูฟังบลูทูธ หากต้องการความเป็นส่วนตัวก็ได้

Gear-S-03

 

เซนเซอร์ที่เพิ่มขึ้นอีกตัวนอกเหนือจาก Gear รุ่นอื่นๆ คือการวัดค่ารังสี UV โดยเมื่อวัดเสร็จก็จะมีคำแนะนำให้ใช้ครีมกันแดด SPF ที่เท่าไร เพื่อป้องกันผิว เป็นต้น

Gear-S-04

 

ลองเล่นแผนที่ ซึ่งมาพร้อม Hear Map ที่เป็นของไมโครซอฟต์ ตัวเดียวกับที่ใช้ใน Lumia

Gear-S-05

 

รองรับซิมแบบ Nano Sim

Gear-S-06
ตัวเครื่องสามารถถอดสายเปลี่ยนได้ง่าย โดยสายจะเป็นเหมือนยางที่ยืดหยุ่นได้แต่เหนียว กระชับและคงทน

Gear-S-07

 

Samsung Gear VR

ต่อเนื่องไปที่ Gear VR กันเลย ซึ่งเป็นอุปกรณ์สวมใส่ที่จะสร้างภาพเสมือนจริงขึ้นมา ได้อย่างตื่นตา ตื่นใจ โดยจะรองรับกับ Galaxy Note 4 ในการใช้เป็นตัวรันเกมที่รองรับกับ Gear VR โดยผู้เล่นที่สวมใส่มันเข้าไปแล้ว ก็จะเหมื่อนเข้าไปอยู่ในเกมนั้นเลยจริงๆ ซึ่ง Gear VR ยังไม่มีแผนที่จะวางจำหน่ายในประเทศไทย ฉะนั้นใครที่อยากลองต้องมาสัมผัสกันได้ที่งาน TME 2014 นะครับ มีให้ลองเล่น 2 เครื่อง ด้วยกัน

Gear-VR-02

Gear-VR-01

Gear-VR-03

 

Wellograph

เดินมาเจอบูตนี้ ต้องเอ๊ะขึ้นมาทันทีเพราะด้วยรูปลักษณ์ดีไซน์ ที่ดูเรียบหรู ทันสมัย ไม่เหมือน Smart Watch อื่นๆ ทั่วไป แถมยังเป็นแบรนด์ของคนไทยอีกด้วย กับ เวลโลกราฟ โดดเด่นด้วยหน้าจอ Sapphire Crystal กันรอยขีดข่วน จอแสดงผลแบบ E-Paper แบตเตอรี่อยู่ได้ถึง 7 วันต่อการชาร์จ 1 ครั้ง สามารถตรวจนับจำนวนก้าวเดิน ระยะทางในการวิ่ง คำนวณการเผาผลาญแคลอรี่ และวัดอัตราการเต้นของหัวใจ รองรับทั้ง iOS , Android 4.0 ขึ้นไป และ Windows Phone

Wellograph-02

 

ราคาพิเศษ เฉพาะในงาน 9,900 บาท จากราคาเต็ม 11,900 บาท สายหนังมีให้เลือก 2 สี ดำ กับ น้ำตาล

Wellograph-01

Wellograph-03

Wellograph-04

 

ได้รับรางวัล Innovations Design and Engineering Awards จากงาน CES 2014 มาอีกด้วย ยังไงก็ช่วยกันสนับสนุนผลงานคนไทยกันด้วยนะครับ

Wellograph-05

 

iWatch จาก iMI

แค่ชื่อก็ชนะแล้ว iWatch จากแบรนด์ (iMI) ไอมี่ Smart Watch สัญชาติ จีน ที่เปิดจองครั้งแรกในงานนี้ ในราคา 5,990 บาท สามารถใส่ซิมโทรออกได้ รองรับระบบ 3G มาพร้อมหน้าจอ 1.54 นิ้ว 720×1280 พิกเซล ซีพียู Quad Core 1.9 GHz แรม 512 MB หน่วยความจำในตัว 4 GB เพิ่ม Micro SD ได้ 32 GB รันบนระบบปฏิบัติการ Android 4.2.2  จริงๆ แล้วมันออกแนวเป็นสมาร์ทโฟนในรูปแบบนาฬิกามากกว่านะครับ เพราะใช้ระบบปฏิบัติการเดียวกับสมาร์ทโฟนเลย สามารถติดตั้งแอพจาก Play Store ได้ แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดว่ามีแอพรองรับมากน้อยแค่ไหน โดยจะวางจำหน่ายปลายเดือน ตุลาคม นี้

iME-iWatch-01

iME-iWatch-02

 

มาพร้อมกล้อง 8 ล้านพิกเซล

iME-iWatch-03

iME-iWatch-04

 

Jawbone UP 24

เรียกว่า Jawbone เป็นแบรนด์แรกๆ เลยก็ว่าได้ที่เริ่มทำ Wearable Device ออกมาวางขาย โดยในงานนี้มีรุ่นใหม่คือ UP 24 ที่เป็นกำไรรัดข้อมือ เพื่อสุขภาพ สามารถตรวจวัดจำนวนก้าวเดิน ตรวจจับการนอน โดยรุ่นนี้สามารถเชื่อมต่อบลูธูท เพื่อซิงค์ข้อมูลไปยังแอพบนสมาร์ทโฟนได้ จากเดิมที่ต้องเชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB รองรับทั้ง iOS 4.0 และ Android 4.3 ขึ้นไป พร้อมสีชมพูมาใหม่ ราคาพิเศษในงาน 5,690 บาท จำกัด 20 ชิ้นเท่านั้น ราคาปกติ 6,290 บาท ที่บูต Jaymart เท่านั้น นอกจากนี้เมื่อซื้อ UP24 สีชมพู จะบริจาคหมวกไหมพรม สำหรับผู้ช่วยมะเร็งเต้านมในโครงการ Samitivej October Go Pink อีกด้วย

Jawbone-up24

 

Garmin Vivofit

การ์มินก็หันมาลุยตลาดนี้มากขึ้นเช่นกัน ซึ่ง Vivofit ก็เปิดตัวมาได้สักพักแล้ว โดยเป็น Finess Band ที่ตรวจจับจำนวนก้าว คำนวณแคลอรี่ วัดระยะทาง และติดตามการนอนได้ โดยมีหน้าจอแสดงผลในตัว จุดเด่นของรุ่นนี้อีกอย่างหนึ่งคือจะมีฟังก์ชั่นเตือนหากมีการอยู่นิ่งๆเป็นเวลา 1 ชั่วโมง และจะเพิ่มขึ้นเมื่อนั่งนานเกินไป เพื่อเป็นการเตือนให้เราลุกขึ้นเดินหรือเคลื่อนไหวบ้าง ส่วนแบตเตอรี่ก็ใช้งานได้ยาวนาน 1 ปี โดยใช้ถ่ายกระดุมเหมือนในนาฬิกาข้อมือ ราคาเท่าปกติ 4,800 บาท แต่แถมสายเพิ่มให้อีก 1 เส้น

Garmin-Vivofit-01-e

 

fitbit

Wearabel Device สำหรับคนรักสุขภาพโดยเฉพาะ โดยมี 3 รุ่น 3 รูปแบบการใช้งานให้เลือก

fitbit Flex จะเป็นสายรัดข้อมือ ที่สามารถตรวจจับจำนวนก้าวเดิน หรือวิ่ง, วัดระยะทาง, ตรวจจับการนอน ตั้งสั่นเพื่อปลุกได้ มีไฟแสดงสถานะ แสดงความคืบหน้าระดับเป้าหมาย มี 5 สี ดำ, เขียว, แดง, น้ำเงิน, ชมพู, สเลท แบตใช้งานได้ 5-7 วัน ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ราคา  3,990 บาท

Fitbit-02

Fitbit-01

 

ด้านขวามือคือตัวเครื่อง คล้ายๆ กับตัว Core ของ Sony SmartBand ส่วนซ้ายมือคือตัวสายรัดข้อมือที่ด้านในจะสามารถใส่ตัวเครื่องลงไปได้

Fitbit-03

 

fitbit One รุ่นนี้จะมีคุณสมบัติเหมือนกับ fitbit Flex ในการตรวจจับ และวัดค่าต่างๆ แต่เพิ่มความสามารถขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งคือการตรวจจับความสูงได้ เหมาะสำหรับคนที่ชอบปีนเขา โดยการใช้งานจะมีตัวหนีบมาให้ ใช้เหน็บที่กระเป๋าเสื้อหรือกระเป๋ากางเกง ขายในราคา 3,990 บาท เช่นกัน

 

Fitbit-04

 

fitbit Zip รุ่นนี้จะมาพร้อมหน้าจอแสดงผล โดยจะเน้นการใช้งานสำหรับตรวจจับการเดิน วิ่ง, วัดระยะทาง และคำนวณแคลอรี แบตเตอรี่อยู่ได้นาน 6 เดือน ราคา 2,490 บาท

Fitbit-05

 

จุดเด่นของ fitbit คือสามารถรองรับกับแอพด้านสุขภาพหลายๆ ตัว อย่าง endomondo ได้อีกด้วย และใช้ได้ทั้ง Android 4.0 ขึ้นไป และ iOS 5.0 ขึ้นไป โดยเมื่อซื้อในงานจะแถม Power Bank 5,000 mAh

 

Wearable Device ที่ยังไม่เข้าไทยให้ลองเล่น

นอกจากนี้ทางเจ้าของงานยังมีบูต Wearable Device รุ่นใหม่ๆ ที่ยังไม่วางขายในประเทศไทย ไว้ให้ลองเล่นกันได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น Samsung Gear Live, Moto 360, LG G Watch, LG LifeBand Touch, Pebble ฯลฯ โดยจะอยู่ตรงหลังบูต Line โซนทางเข้าด้านหน้า

 

Samsung Gear Live นาฬิกา Smart Watch ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android Wear

Wearable-showcase-SS-Gear-live-01

Wearable-showcase-SS-Gear-live-02

 

LG G Watch ก็เป็น Android Wear อีกตัวที่มาให้ลองเล่นกัน

Wearable-showcase-LG-Gwatch-01

 

LG LifeBand Touch

Wearable-showcase-LG-LifeBand-01

 

Pebble นาฬิกา Smart Watch ที่ใช้ได้ทั้ง Android และ iOS ดีไซน์เหมือนนาฬิกาแฟชั่น สุดเก๋

Wearable-showcase-Pebble-01

 

Wearable-showcase-Pebble-02

 

Huawei Honor รุ่นนี้เป็น SmartBand ที่มาในแบบ 2 in 1 โดยสามารถถอดออกมาใช้เป็นหูฟังบลูทูธได้ด้วย

Wearable-showcase-Huawei-02

 

Wearable-showcase-Huawei-03

 

W/ME เป็น Smart Band ดีไซน์เก๋เข้ากับไลฟ์สไตล์อีกตัวหนึ่ง สามารถตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจ, มีหน้าจอแบบ Dot Matrix ใช้แจ้งเตือนอีเมล์ใหม่, เตือนสายเข้า, นาฬิกา, ใช้เป็นชัตเตอร์ไร้สายบน iOS, เช็กอินสถานที่บน Facebook, ใช้เรียกค้นหาโทรศัพท์ และเปิดเป็นไฟฉายได้ด้วย โดยตัวนี้มีขายที่บูตนี้เลย ราคา 5,000 บาท

Wearable-showcase-01

 

เอาล่ะครับ หวังว่าคงจะทำให้ผู้ที่กำลังอยากได้ Wearable Device ไว้ในงานสักตัว ได้ลองพิจารณาก่อนเดินเข้างานได้บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ

 

 

อย่างไว Android Wear ก็อปปี้หน้าจอ Home Screen ของ Apple Watch เรียบร้อยแล้ว

pear
ผ่านพ้นไปแค่ 1 อาทิตย์ สำหรับการเปิดตัว Apple Watch ที่เป็นอุปกรณ์ Wearable Device ตัวแรกของ Apple ก็มีนักพัฒนาฝั่ง Android จัดเต็ม ด้วยการก็อปปี้หน้า Home Screen ของ Apple Watch ใส่ลงใน Android Wear ทันที

 

AplWatch42_34R_HomeScreen_HERO

หน้าตา Home Screen ของ Apple Watch

 
โดยผู้ใช้ Smartwatch ที่รันระบบปฏิบัติการ Android Wear ทุกยี่ห้อ ไม่ว่าจะเป็น LG G Watch, Samsung Gear Live หรือ Moto360 ก็สามารถดาวน์โหลดแอพ WearFaces มาติดตั้งได้เลย ซึ่งแอพนี้จะมีหน้าปัดนาฬิกาให้เลือกหลากหลายแบบ รวมไปถึงหน้า Home Screen ของ Apple Watch อีกด้วย ที่สำคัญมันรองรับกับ Smartwatch ทั้งหน้าจอสี่เหลี่ยม และวงกลมได้ทั้งหมด

 

สาวกแอนดรอยด์ที่อยากกลายร่างเป็น Apple Watch ก็โหลดมาเล่นกันได้เลยที่ลิงค์นี้ WearFaces ครับ ส่วนแอพภายในก็ยังใช้งานได้ตามปกติ ตามสไตล์ของ Android Wear

 

Source : Wearfaces

 

 

ภาพหลุดแบบร่างชิ้นส่วน iWatch ก่อนเปิดตัวพรุ่งนี้

 

iwatch-leak-drawing-01
 
มาเป็นชุดเลยล่ะครับ กับภาพหลุดแบบร่าง 3D ของชิ้นส่วนอุปกรณ์ Wearable จาก Apple ซึ่งเรียกกันติดปากไปเสียแล้วว่า iWatch โดยภาพดังกล่าวมีลายน้ำของ Quanta ซึ่งเป็นหนึ่งในพาร์ทเนอร์โรงงานผู้ผลิตของ Apple ที่เผยให้เห็นว่า iWatch มาพร้อม ไมค์ในตัว และ ลำโพง

 

ภายในภาพยังมีการระบุอีกว่าสามารถกันน้ำได้ลึก 20 เมตร แบตเตอรี่ใช้งานได้ภายใน 1 วัน แต่จะไม่มีพอร์ต Lightning หรือพอร์ตเชื่อมต่อใดๆ นั่นอาจเป็นการบอกว่า iWatch อาจจะใช้ระบบชาร์จไร้สายก็เป็นได้

 

iwatch-leak-drawing-02

 

นอกจากนี้ยังข่าวลืออีกว่า iWatch จะมาพร้อมกันถึง 8 รุ่น ที่ประกอบไปด้วย 4 สี สีละ 2 ขนาด ตามรายงานก่อนหน้านี้ที่บอกว่าจะมีรุ่นหน้าจอขนาด 1.3 นิ้ว และ 1.5 นิ้ว

 

ยังไงวันที่ 9 ก.ย. เที่ยงคืนเป็นต้นไป ก็รอติดตามดูว่า Wearable Device ตัวแรกจาก Apple ว่าจะออกหัวหรือก้อย เอ๊ะ หรือไม่ออกเลยซะงั้น ใครจะไปรู้ อิอิ…

 

iwatch-leak-drawing-03

iwatch-leak-drawing-04

iwatch-leak-drawing-05

iwatch-leak-drawing-06

 

Source : 9to5mac

 

 

ไหวมั้ย ถ้า Apple iWatch จะตั้งราคาสัก $400 เหรียญ

 

apple-iwatch-concept
รูปต้นแบบ ยังไม่ใช่ของจริง

 

มีรายงานจากเว็บไซต์ re/code ซึ่งไม่ได้ระบุแหล่งที่มา ว่าแอปเปิ้ล กำลังถกเรื่องราคาของ Wearable Device หรือ iWatch (ชื่ออย่างไม่เป็นทางการ) ว่าอาจจะมีราคาอยู่ที่ประมาณ $400 เหรียญสหรัฐ แต่ก็ยังไม่ได้สรุปราคาที่แน่ชัดออกมา ซึ่งคาดว่าจะมีการเปิดตัวพร้อมกันในวันที่ 9 ก.ย. นี้ แต่จะวางจำหน่ายในปี 2015
smartwatch-landscap

 

อย่างไรก็ตาม ในบรรดาของ Smart Watch ค่าย Android ที่ออกมาก่อนหน้านี้ ต่างมีราคาอยู่ที่ $200 เหรียญขึ้นไป ส่วนพวก Smart Band จะอยู่ประมาณ $100 เหรียญ ฉะนั้น ถ้า Apple จะตั้งราคาจะไปแตะถึง $400 เหรียญ หรือประมาณ 12,790 บาท ก็ดูจะแพงเว่อร์ไปอยู่เหมือนกัน แต่ก็ต้องรอดูฟีเจอร์กันอีกทีว่ามันจะคุ้มราคาค่าตัวสักแค่ไหน

 

Source : 9to5 mac via re/code 

 

 

Ralph Lauren Polo เตรียมเปิดตัว Tech Shirt เสื้ออัจฉริยะ Wearable Device ที่ใกล้ความจริงมากที่สุด

 

ralph-lauren-wearable-2014-08-25-01

 

บริษัทชั้นนำด้านเสื้อผ้า แฟชั่นอย่าง Ralph Lauren Polo ได้เปิดตัวนวัตกรรมเสื้อผ้ารูปแบบใหม่ ที่จะกลายเป็นอุปกรณ์ Wearable ตัวจริง ซึ่งได้ฝังเซนเซอร์เพื่อตรวจจับสุขภาพหรือ Health Tracker เอาไว้ในเสื้อเทนนิส

SONY DSC

 

โดยเสื้อ Polo Tech shirt ตัวนี้สามารถตรวจจับ อัตราการเต้นของหัวใจ, อัตราการหายใจ รวมถึงสเต็ปการเคลื่อนไหวของร่างกาย โดยจะมีเซนเซอร์ติดอยู่กับเสื้อ และเส้นใย Biosensing Silver Fiber เพื่อตรวจจับ แล้วเชื่อมต่อบลูทูธเพื่อส่งข้อมูลไปยังแอพบน iPhone/iPad ซึ่งสามารถถอดออกได้เมื่อถึงเวลาต้องซักเสื้อ

omsignal_ralphlauren_malemodel01

Ralph-Lauren-Polo-Tech-798x310

 

ในแอพนอกจากจะแสดงผลการวัดจากเซนเซอร์ต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว ยังนำข้อมูลไปประมวลผลเพื่อแจ้งปริมาณการเผาผลาญแคลอรี่ หรือแสดงสถิติการออกกำลังของเราในแต่ละระดับที่สำคัญแอพนี้ยังค่อยทำหน้าที่เหมือนเทรเนอร์ส่วนตัวในระหว่างที่เรากำลัง Workout ได้อีกด้วย ลองชมตัวอย่างในคลิปวิดีโอ ท้ายบทความ

 

ralph-lauren-polo-tech-3

 

เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ Wearable ประเภท Health Tracker ที่อยู่ในรูปแบบเสื้อผ้า ซึ่งที่ผ่านมาจะมีแต่เป็นนาฬิกา Smart Watch หรือ Smart Band เท่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม Polo Tech shirt ยังเป็นเพียงแค่ต้นแบบเท่านั้น โดย Ralph Lauren มีแผนที่จะวางจำหน่ายจริงภายในปีหน้า และจะมีออกมารองรับให้กับทั้งหญิงและชาย รวมถึงอาจจะมีการพัฒนาให้อยู่ในชุดเสื้อผ้าอื่นๆ ในอนาคตอีกด้วย

 

 

 

LG KIZON อุปกรณ์ติดตามตัวสำหรับเด็กจากแอลจี มั่นใจในความปลอดภัยยามลูกอยู่ไกลตัว

 

LG KizON 02

 

แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (แอลจี) ต่อยอดประสบการณ์ใหม่สำหรับผู้ปกครองที่มีบุตรหลาน ด้วยสายรัดข้อมือ KizON อุปกรณ์ติดตามตัวใหม่ล่าสุดจากแอลจี ดีไซน์พิเศษสำหรับเด็กวัยอนุบาลและประถมศึกษา เพื่ออำนวยความสะดวกในการติดตามตำแหน่งของเด็กจากสมาร์ทโฟนแบบเรียลไทม์ด้วยจีพีเอสและ Wi-Fi

 

LG KizON 01

 

ด้วยระบบโทรสายตรงเพียงกดปุ่มเดียว (One Step Direct Call) ผู้ปกครองสามารถสื่อสารกับเด็กได้อย่างง่ายดาย และทราบข้อมูลสถานที่ที่เด็กอยู่ได้ตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ เด็กๆ ยังสามารถติดต่อกลับไปยังหมายเลขโทรศัพท์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าได้ด้วยการกดปุ่มเดียวกัน โดยผู้ปกครองสามารถเปลี่ยนหมายเลขดังกล่าวเมื่อใดก็ได้ผ่านสมาร์ทโฟนบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.1 ขึ้นไป หากเด็กไม่รับสายจากหมายเลขโทรศัพท์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าใน 10 วินาที KizON จะเชื่อมสายกับไมโครโฟนในตัวเครื่องโดยอัตโนมัติ เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถฟังจากเสียงจากสถานที่ที่เด็กอยู่ได้ อีกหนึ่งฟังก์ชั่นสำคัญของ KizON คือการแจ้งเตือนตำแหน่ง (Location Reminder) ซึ่งผู้ปกครองสามารถกำหนดให้มีการแจ้งเตือนสถานที่ในเวลาที่ระบุไว้ได้ตลอดทั้งวัน

 

KizON เปิดตัวที่ประเทศเกาหลีใต้ไปเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ก่อนจะข้ามไปเปิดตัวยังสหรัฐอเมริกาและทวีปยุโรปปลายปี 2557 นี้

 

Asus Smartwatch กำลังจะเป็นสุดยอดฮีโร่โปรดักษ์ ตามที่ Jonney Shih กล่าวไว้

 

asus-smartwatch
Asus ก็เป็นอีกแบรนด์หนึ่งที่เชื่อว่ากำลังซุ่มผลิต Smartwatch ที่คาดว่าน่าจะเป็น Android Wear อีกตัวที่กำลังจะออกมา โดยน่าจะเปิดตัวในงาน IFA 2014 เดือนกันยายนนี้

 

ซึ่งตามที่นาย Jonney Shih ซีอีโอ Asus ได้บอกไว้ว่า Asus Smartwatch จะเป็น Hero Product ตัวสำคัญที่มาพร้อมฟีเจอร์ที่โดดเด่น และยังบอกด้วยว่าการออกแบบดีไซน์ และปัจจัยในการใช้งานของตัวอุปกรณ์ดังกล่าว ก็เป็นสิ่งสำคัญมาก แต่ก็เขาก็ยังไม่ได้เปิดเผยสเปกออกมาแต่อย่างใด

 

และก่อนหน้านี้เราเคยได้ยินว่า Asus กำลังมองไปในแนวทางการทำ Smartwatch ให้บางที่สุด และเป็นตัวแรกในตลาด ซึ่งนี้ก็สอดคล้องกับความเห็นที่นาย Jonney Shih ได้พูดถึงเรื่องการออกแบบเอาไว้

 

อย่างไรก็ตาม Asus ก็น่าจะเป็นอุปกรณ์อีกตัวหนึ่งที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android Wear ซึ่งก็มีความเป็นไปได้สูงอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่มีการคอนเฟิร์มใดๆ จาก Asus ในขณะนี้

 

ส่วนราคาก็คาดว่าน่าจะอยู่ราว 100 – 150 เหรียญสหรัฐ หรือไม่เกิน 4900 บ.

 

เผยโฉม Moto 360 นาฬิกาอัจฉริยะที่ดูดีที่สุด ในบรรดา Android Wear ทั้งหมด

 

moto360lead

 

นี่ก็เป็นอีกหนึ่ง Smartwatch ม้ามืดที่มีข่าวลือออกมาก่อนงาน Google I/O อยู่พอสมควร ซึ่งสุดท้ายเมื่อเผยโฉมตัวจริงภายในงานนี้ ก็เป็นไปตามข่าวลือเป๊ะๆ

 

เรียกว่าเป็น Smartwatch ที่โดดเด่นที่สุดของงานนี้เลย เพราะด้วยดีไซน์หน้าปัดเป็นวงกลม เหมือนกับนาฬิกาแบบเข็ม จึงทำให้ Moto 360 เป็นที่จับตามองเป็นพิเศษ ถึงการออกแบบหน้าจอระบบสัมผัสให้เป็นวงกลม โดยภายในรันระบบปฏิบัติการ Android Wear ตัวล่าสุดเช่นเดียวกัน และมาพร้อมฟีเจอร์หลักๆ อย่างการสั่งงานด้วยเสียง, ตรวจนับก้าว, ดูพยากรณ์อากาศ, รายงานนัดหมาย หรือแจ้งเตือนข้อมูลต่างๆ ซึ่งดูเหมือนเป็นการนำฟีเจอร์ของ Google Now มาอยู่บน Smartwatch นั่นเอง

 

สำหรับตัวเรือนเป็นโลหะแต่หนาไปหน่อยนะ ส่วนสายที่ให้มาดูจากลักษณะน่าจะเป็นสาย PU พลาสติก แต่ตามข่าวระบุว่าจะมีสายหนังแท้ขายแยกให้ด้วย แต่แอบสังเกตที่หน้าจอจะมีส่วนท้ายที่เป็นพื้นดำซะงั้น สงสัยคงจะออกแบบหน้าจอได้สุดขอบแค่นี้

 

สำหรับ Moto 360 จะวางจำหน่ายถัดจาก LG G Watch และ Samsung Gear Live ไปประมาณอีก 1 เดือน ระหว่างนี้ก็ลองไปชมภาพยั่วกิเลสกันไปก่อน

 

DSC_0397-2040_verge_super_wide DSC_0389-2040_verge_super_wideDSC_0447-2040_verge_super_wide DSC_0445-2040_verge_super_wide DSC_0440-2040_verge_super_wide DSC_0436-2040_verge_super_wide DSC_0423-2040_verge_super_wide DSC_0422-2040_verge_super_wide DSC_0419-2040_verge_super_wide DSC_0408-2040_verge_super_wide DSC_0404-2040_verge_super_wide DSC_0379-2040_verge_super_wide DSC_0375-2040_verge_super_wide

 

Source : The Verge, Engadget

 

เปิดตัว Samsung Gear Live อีกหนึ่ง Android Wear จากงาน Google I/O

 

gear-live-03

 

เผยโฉมตัวเป็นๆ เรียบร้อยแล้วกับ Samsung Gear Live อุปกรณ์สวมใส่หรือ Wearable Device ซึ่งเป็น Smartwatch ตัวล่าสุดที่รันบนระบบปฏิบัติการ Android Wear ระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุดสำหรับติดตั้งลงในอุปกรณ์สวมใส่โดยเฉพาะ โดยเพิ่งเปิดตัวไปในงาน Google I/O นั่นเอง

 

โดย Samsung Gear Live ยังคงมาในดีไซน์เดียวกับ Galaxy Gear, Gear 2, Gear Neo แต่ต่างกันตรงที่ก่อนหน้านี้ Galaxy Gear ทั้งหลายจะรันบนระบบปฏิบัติการ Tizen และ Android เป็นหลัก ทั้งนี้ Gear Live ยังติดตั้งเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจมาให้ ส่วนซีพียูความเร็ว 1.2 GHz, Ram 512 MB, หน่วยความจำภายใน 4 GB, หน้าจอทัชสกรีน 1.63 นิ้ว Super AMOLED 320×320 พิกเซล แบตเตอรี่ 300 mAh (น้อยกว่า LG G Watch) รองรับ Bluetooth 4.0 ขนาด 37.9 x 56.4 x 8.9 มม. น้ำหนัก 59 กรัม

gear-live-04gear-live-05

สำหรับฟีเจอร์การใช้งานยังคงทำได้เฉพาะฟีเจอร์หลักๆ ของระบบ Android Wear เช่น การนับก้าว, แสดงการพยากรณ์อากาศ และข้อมูลสำคัญจาก Google Now เป็นต้น ยังไม่เห็นว่าซัมซุงได้ใส่แอพพลิเคชั่นเพิ่มเติมอะไรของตัวเองลงไปเหมือนอย่างรุ่นก่อนหน้านี้ แต่ Gear Live สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนที่รันบน Android 4.3 Jelly Bean ขึ้นไปได้ทุกรุ่น และน่าจะทุกยี่ห้อด้วยครับ

gear-live-02

gear-live-01

 

Samsung Gear Live มี 2 สี ให้เลือกคือ ดำ กับ ไวน์แดง โดยจะวางจำหน่ายพร้อมกับ LG G Watch ใน Google Play Store ในวันที่ 7 กรกฎาคมนี้ สนนราคา $199 เหรียญ หรือประมาณ 6,500 บาท

 

Source : Engadget, gsmarena, Techcrunch