มือสั่นไม่หาย! มีอะไรใหม่ใน iPhone 6s และ 6s plus วัดกันตั้งแต่สัมผัสแรกไปเลย

 

หิ้วมาเรียบร้อย! iPhone 6s และ 6s Plus เห็นตัวจริงครั้งแรกธรรมด๊าธรรมดา (เหมือน iPhone 6) แต่พอได้สัมผัสรู้เลยว่ามันไม่ได้มีดีแค่เติม “S” จะมีอะไรน่าสนใจบ้างไปดูกันเลยค่ะ

 

IMG_7892-edit

 

ดีไซน์เดิมแต่วัสดุแข็งแรงกว่าเก่า

 

IMG_7961-edit

 

เป็นที่รู้กันว่า Apple ไม่ค่อยเปลี่ยนดีไซน์รุ่นที่เติม ‘s’ สักเท่าไหร่ หลายคนจึงตั้งตารอดูสเปคเทพอย่างเดียว จนลืมไปว่าวัสดุที่ใช้รุ่นนี้ Apple การันตีไม่มีงอ! เพราะเปลี่ยนอะลูมิเนียมใหม่เป็น Aluminum Zinc ที่ใช้บนเครื่องบินและยานอวกาศ คงต้องรอดูคลิป Drop Test กันต่อไปว่าจะอึดแค่ไหน อันนี้แอดไม่กล้าเทสให้จริงๆ..อุ๊ปส์! นอกจากนี้ยังเพิ่มสีเครื่อง Rose Gold ชมพูฟรุ้งฟริ้ง เอาใจสาวๆเป็นพิเศษ แต่มองไกลๆสีจืดไปนิดนะ ต้องดูใกล้ๆถึงรู้ว่า 6s ชัวร์

 

ขนาดและน้ำหนัก

 

6spgold1
iPhone 6s ใช้ขนาดหน้าจอแสดงผล 4.7 นิ้ว และ 6s Plus ยังคงที่ 5.5 นิ้ว

 

ขนาดของตัวเครื่อง เพิ่มขึ้นเล็กน้อยแค่ 0.1 มม. บางลงกว่าเดิม 0.2  มม. เรียกว่าแทบไม่รู้สึกต่าง! ส่วนน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณ 20 กรัม เพราะใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียมรุ่นใหม่นั่นแหล่ะค่ะ แต่ก็ไม่รู้สึกว่าหนักกว่ามากสักเท่าไหร่ ถือว่าข้อนี้ผ่านเพราะแลกกับความแข็งแรงที่เพิ่มขึ้น  และด้วยขนาดที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ทำให้สามารถใช้เคส รวมทั้งฟิล์มกันรอยร่วมกับ 6 และ 6 Plus รุ่นก่อนได้อย่างไม่มีปัญหา

 

ปุ่ม Touch ID เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

IMG_7969-edit IMG_7978-edit

 

ปุ่ม Touch ID (หรือปุ่ม Home) ถูกปรับปรุงให้ทำงานเร็วขึ้นกว่าเดิม 2 เท่า หลังจากทดสอบสแกนลายนิ้วมือปลดล็อคเข้าสู่หน้า Home จะรู้สึกทันทีว่า “โอ้ว..มันเร็วมาก” แทบไม่เห็นหน้า Lock Screen บอกเลยว่าแตกต่างกับรุ่นก่อนชัดเจน

 

3D Touch สัมผัสอัจฉริยะบนหน้าจอ

 

IMG_7983-edit

IMG_7991-edit

 

หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า Force Touch ที่ใช้กับนาฬิกา Apple มากันบ้างแล้ว ซึ่งเทคโนโลยีนี้ได้ถูกนำมาใช้บน iPhone รุ่นใหม่นี้เช่นกัน ในชื่อ 3D Touch เป็นการใช้ “ความหนัก-เบาของการกดหน้าจอ” เพื่อเรียกเมนูลัดของแอพขึ้นมาโดยไม่ต้องเปิดแอพ แต่ฟีเจอร์นี้จะรองรับเฉพาะแอพที่มาพร้อมเครื่อง มีบางแอพเท่านั้นที่ยังใช้ไม่ได้ เช่น แอพ Photo, Weather, Stocks ส่วนผู้พัฒนาแอพอื่นๆก็เริ่มทยอยเพิ่มฟีเจอร์นี้ลงในแอพกันบ้างแล้ว

 

กล้อง 12 ล้านแล้ว..มาเล่นกันเถอะ!

 

IMG_7982-edit
แตะไอคอน Camera จะเห็นเมนูคำสั่งแสดงขึ้นมา เลือกคำสั่งที่ใช้บ่อยๆได้เลย

 

IMG_7967-edit

ทั้ง 6s และ 6s Plus เพิ่มความละเอียดของกล้องหลังจากเดิม 8 ล้านพิกเซล มาเป็น 12 ล้านพิกเซล ส่วนรุ่น 6s ยังคงไม่มีระบบกันสั่นสะเทือนแบบออฟติคอล หรือ OIS (Optical Image Stabilization) เหมือนกับ 6s Plus เช่นเดิม เสียใจอ่ะ!

IMG_8001-edit

 

ซึ่งระบบ OIS นี้จะมีประโยชน์ก็เมื่อเราถ่ายภาพในสภาพที่แสงน้อยๆแล้วมือไม่นิ่งนั่นเอง แต่หากถ่ายภาพที่แสงปกติ ทั้งสองรุ่นยังคงถ่ายภาพได้ยอดเยี่ยมไม่แตกต่างกัน  ส่วนกล้องหน้า เพิ่มความละเอียดเป็น 5 ล้านพิกเซล เอาใจหนุ่มๆสาวๆในการถ่ายภาพเซลฟีโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังเพิ่ม Retina Flash ที่ใช้แสงไฟบนหน้าจอมาเป็นแฟลช ช่วยให้หน้าสว่างขึ้นได้

 

IMG_8016-edit

 

มาถึงเรื่องการถ่ายวิดีโอกันบ้าง ทั้ง 2 รุ่นรองรับความละเอียดระดับ 4K (3840×2160 พิกเซล) ที่ความเร็ว 30 fps ช่วยให้วิดีโอคมชัดมากยิ่งขึ้น สำหรับ iPhone 6s ที่ไม่มีระบบกันสั่น OIS เหมือนกับรุ่น 6 Plus ก็ไม่ต้องเป็นกังวลไป เพราะแอปเปิลใช้ระบบกันสั่น Digital stabilization เพื่อลดความเบลอของภาพเนื่องจากมือไม่นิ่งมาช่วยแทน อย่างไรก็ตามการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดระดับ 4K ถึงแม้จะได้วิดีโอที่คมชัด แต่ก็ต้องแลกกับพื้นที่จัดเก็บที่มากขึ้น ซึ่งหากเราคิดว่าไม่จำเป็นที่ต้องถ่ายความละเอียดขนาด 4K ก็สามารถเข้าไปตั้งค่าได้ที่ Settings > Photos & Camera > Record Video

 

สเป็คและประสิทธิภาพการทำงาน

 

A9

 

มาดูฝั่งฮาร์ดแวร์กันบ้าง ทั้ง iPhone 6s และ 6s Plus เปลี่ยนมาใช้ ชิบ A9 Dual-Core 1.8 GHz. ที่ประมวลผลได้เร็วแรงกว่าเดิม เพิ่ม RAM เป็น 2 GB จากเดิม 1 GB ที่ใช้มาตั้งแต่  iPhone 5 ความจุแบตเตอรี่ของ 6s อยู่ที่  1715 mAh  และ 6s Plus อยู่ที่ 2750 mAh (ส่วน 6 และ 6 Plus อยู่ที่  1,810 และ 2,915 mAh ตามลำดับ) จะเห็นว่าความจุแบตน้อยลง แต่เมื่อใช้งานร่วมกับ iOS 9 จะทำให้ใช้งานได้นานเท่าความจุเดิมของรุ่นก่อน

 

ดูตารางเปรียบเทียบสเป็ค  iPhone 6s และ 6s Plus

 

iOS 9 ที่ชาญฉลาดขึ้นกว่าเดิม

มาที่ iOS 9 ระบบปฏิบัติการรุ่นล่าสุดที่เปิดตัวมาพร้อมกับ iPhone 6s และ 6s Plus ได้รับการปรับปรุง และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆเพื่อรองรับกับไอโฟนรุ่นใหม่ได้ดีขึ้น เช่น

 

Live Photos

 

IMG_8007-edit

 

เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาในแอพ Camera ซึ่งฟีเจอร์นี้จะถูกเปิดใช้งานอัตโนมัติในการถ่ายภาพนิ่ง การทำงานของมันคือ จะจับภาพก่อนและหลังในขณะที่เราแตะปุ่มชัตเตอร์ โดยจะบันทึกเป็นไฟล์ภาพ  .jpg และภาพเคลื่อนไหว .mov และเราเปิดดูภาพก็จะเห็นเป็นภาพนิ่งปกติ แต่เมื่อลองกดหน้าจอ (3D Touch) ลงบนภาพก็จะแสดงเป็นภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียงสั้นๆ สำหรับบอกเล่าเรื่องราว ณ เวลานั้น และภาพที่ได้นี้สามารถนำไปตั้งเป็นวอลล์เปเปอร์ได้ตามปกติ หรือจะเปิดดูภาพเหล่านี้บนอุปกรณ์ iDevice ตัวอื่น ๆ หรือเครื่อง Mac ก็ได้เช่นกัน

 

Battery

 

IMG_8026-edit

 

ใน iOS 9 เพิ่มการจัดการแบตเตอรี่ได้ดีกว่าเดิม ตัดการใช้งานแบตที่ไม่จำเป็นออก และเพิ่มโหมดประหยัดพลังงาน Low Power Mode ขึ้นมา เมื่อแบตลดเหลือ 20 % จะมีหน้าจอแจ้งเตือนว่าเราต้องการจะเปิดใช้โหมดนี้หรือไม่ เมื่อเปิดใช้ก็จะปิดฟังก์ชั่นที่ไม่จำเป็นลงไป เช่น การดึงอีเมล์ การเรียก Hey Siri แอพที่ทำงานเบื้องหลัง การดาวน์โหลดอัตโนมัติ ซึ่งหลังจากลองทดสอบเปิดใช้งานโหมดนี้ แล้วลองไม่ใช้งานเครื่องดู สามารถสแตนด์บายได้นาน 1 ชั่วโมงเลยทีเดียว

 

นอกจากที่กล่าวมา ยังมีการปรับปรุงในรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆอีก เช่น เพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยให้เข้มงวดขึ้นโดยการเพิ่มเลข passcode สำหรับปลดล็อคจาก 4 ตัวเป็น  6 ตัว รวมทั้งการเพิ่มระบบปลดล็อคเพื่อยืนยันตัวตนแบบ 2 ชั้น นอกจากนี้ยังเพิ่มความสะดวกในการอัพเดท iOS ให้กับผู้ใช้ด้วย โดยใช้เนื้อที่สำหรับการอัพเดทน้อยลงกว่าเดิม ซึ่งมักพบปัญหานี้กับผู้ที่ใช้ไอโฟนโดยเฉพาะรุ่นความจุ 16 GB

 

IMG_8027-edit

 

สำหรับแอพที่มาพร้อมกับ iOS 9 ก็ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น

 

-Notes ที่ทำเป็นเช็คลิสต์ได้ เพิ่มรูปลงในโน้ตด้วยการถ่ายหรือเรียกจาก Library หรือจะเพิ่มแผนที่ ลิงค์ เอกสารจากแอพใดๆก็ได้ และที่ดูจะเป็นฟีเจอร์เด่นก็คือ สามารถวาด ขีดเขียนด้วยนิ้วบนโน้ตโดยเลือกประเภทของปากกาและเลือกสีที่จะใช้ได้

 

IMG_8031-edit

IMG_8034-edit

 

 

-Maps เพิ่มข้อมูลเส้นทางและการนำทางของระบบขนส่งมวลชนเพื่อให้เราเดินทางได้สะดวกที่สุด เช่น เดินออกที่ประตูไหน หรือต้องไปรอรถเมล์ตรงป้ายไหน นอกจากนี้เมื่อเราสั่งค้นหาใน Maps ก็จะแสดงรายชื่อร้าน อาคาร ปั๊มน้ำมัน หรือสิ่งก่อสร้างที่อยู่บริเวณรอบๆให้ด้วย จะแวะช็อปแวะทานหรือเข้าห้องน้ำก็สะดวกขึ้นกว่าเดิม ฟีเจอร์นี้ใช้ได้กับเมืองใหญ่ๆ ส่วนไทยคงต้องรอกันไปก่อน

 

Maps

 

-iCloud Drive เพิ่มแอพ iCloud Drive ที่ช่วยให้เราเข้าถึงไฟล์ที่จัดเก็บไว้กับ iCloud ได้อย่างรวดเร็ว จะค้นหาไฟล์หรือเรียกดูไฟล์ทั้งหมดตามวันที่ ชื่อไฟล์ ชื่อที่แท็กไว้บน Mac หรือจะดูตัวอย่างและจัดระเบียบไฟล์ผ่านแอพได้เลย สำหรับแอพนี้จะถูกซ่อนไว้ เราจะต้องสั่งให้แสดงก่อน โดยหลังจากที่ล็อกอินเข้าใช้งาน iCloud แล้ว ตรงหัวข้อ iCloud Drive ให้เปิดใช้คำสั่ง Show on Home Screen อีกที

 

iCloud Drive

 

สำหรับคนที่ใช้ iPhone 6 หรือ 6 Plus อยู่แล้วอาจไม่รู้สึกตื่นเต้นเท่าไหร่กับ iPhone รุ่นใหม่อย่าง iPhone 6s และ 6s Plus เนื่องจากภาพรวมจะเป็นแค่การอัพเกรดสเป็คเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่สำหรับคนที่ใช้ iPhone รุ่นต่ำกว่า 5s ลงไปอาจจะตัดสินใจที่จะเปลี่ยนมาใช้ไอโฟนรุ่นใหม่นี้ได้ไม่ยาก อันนี้ก็คงต้องแล้วแต่ความพอใจและเงินในกระเป๋าแล้วกันล่ะ ^ ^

 

[Review] เปรียบเทียบกล้อง iPhone 6 Plus กับ Galaxy Note 4

 
iphone-6-vs-Note4
 
ถ้าพูดถึงเรื่องกล้องบนสมาร์ทโฟนแล้ว เรียกว่าเป็นปัจจัยแรกๆ ในการเลือกซื้อเลยก็ว่าได้ ซึ่งแน่นอนว่าสมาร์ทโฟนฝั่งแอนดรอยด์ต่างอัดสเปกสู้ และเอาชนะ iPhone มาตลอด และนี่ก็เป็นอีกครั้ง สำหรับมวยคู่เด็ดระหว่าง iPhone 6 Plus ศิษย์ Apple กับ Samsung Galaxy Note 4 ศิษย์ Android

 
เทียบสเปกกล้องหลัง
iPhone 6 Plus ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล + OIS รูรับแสง F/2.2
Galaxy Note 4 ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล + Smart OIS

 

การทดสอบครั้งนี้จะตั้งค่าในโหมดอัตโนมัติ โดยเปิดฟังก์ชั่น HDR Auto ไว้สำหรับ iPhone 6 ส่วน Galaxy Note  4 จะเปิด HDR On ไว้ตลอด โดยจะทดสอบถ่ายในสภาพแสงทั้งกลางแจ้ง และในอาคาร

 

ทดสอบถ่ายภาพ Close Up

สำหรับการถ่ายภาพ Close Up ในส่วนของความชัดตื่น หรือฉากหลังเบลอนั้น จะทำได้ดีพอๆกัน สามารถถ่ายวัตถุใกล้ๆ แล้วได้ฉากหลังเบลอตามความสามารถของเลนส์ ไม่ได้ใช้แอพแต่งเพิ่มเติมใดๆ ส่วนเรื่องของสีสัน ในสายตามของผมมองว่า Galaxy Note 4 ให้สีที่สดและใสเคลียร์กว่า โดยสังเกตจากภาพดอกลีลาวดี ที่กลีบดอกด้านนอกขาวสว่างกว่า ส่วนสีเหลืองของกลีบดอกด้านในก็ดูอร่ามกว่า iPhone 6 Plus

 

ถ่าย Indoor

เมื่อทดลองเปรียบเทียบภาพที่ถ่ายภายในอาคาร ซึ่งในบางจุดที่ผมทดสอบอย่าง 2 ภาพแรก รูปตุ๊กตา กับวัตถุสีแดงๆ จะมีแสงจากภายนอกมาช่วยด้วยส่วนหนึ่ง โดยภาพที่ออกมาจะสังเกตได้ว่าโทนสีแดงของ iPhone 6 Plus จะอมเหลืองหน่อยๆ ส่วน Galaxy Note 4 จะให้สีแดงสดกว่า ส่วนในเรื่องของ HDR ทั้งคู่สามารถเฉลี่ยแสงระหว่างเงามืดและที่สว่างได้พอดี รวมถึงการจัดการ White Balance ก็เที่ยงตรงไม่เพี้ยน ดูจากภาพแจกันสีทอง ซึ่งทั้ง 2 ก็ถ่ายทอดสีสันออกมาได้ตรงไม่แตกต่างกันมาก

 

ถ่ายกลางคืน ด้วยมือไม่ใช้ขาตั้งกล้อง

เมื่อเปรียบเทียบภาพถ่ายกลางคืนแล้ว เห็นได้ชัดว่า iPhone6 Plus จะให้ภาพที่มืดกว่า Galaxy Note 4 อยู่พอสมควร แต่ในเรื่องของ Noise เมื่อลอง Crop ภาพที่ 100% ปรากฎว่า iPhone 6 Plus สามารถจัดการ Noise ได้ดีกว่า Galaxy Note 4 ส่วนในเรื่องของโทนสี Galaxy Note 4 จะถ่ายทอดแสงของหลอดไฟออกไปในโทนเหลืองมากกว่า iPhone 6 Plus

 
ถ่ายพาโนราม่า

IMG_0096-800px

iPhone 6 Plus

 
20141009_140704-800px

Galaxy Note 4

 

การถ่ายภาพพาโนรามา iPhone 6 Plus สามารถจัดการแสงที่แตกต่างระหว่างที่สว่างกับในร่มได้ดีกว่า โดยส่วนที่สว่างก็ไม่โอเวอร์ และส่วนในร่มก็ไม่อันเดอร์ หรือมืดจนไม่เห็นรายละเอียด ซึ่งจุดนี้ Galaxy Note 4 อาจจะไม่สามารถคำนวนแสงได้ดีพอ นอกจากนี้ในส่วนของความกว้างของเลนส์ iPhone 6 Plus จะเก็บภาพได้กว้างหรือไวด์มากกว่า

 
เห็นผลลัพธ์ของกล้องในการใช้งานๆ แต่ละสถานที่กันไปแล้ว ซึ่งจะพบว่ามีจุดเด่น จุดด้อยแตกต่างกันบ้างเล้กน้อย ดังนั้นอยากให้ผู้อ่านลองตัดสินใจกันดูนะครับว่าชอบภาพจาก iPhone 6 Plus หรือ Galaxy Note 4 อันไหนมากกว่ากัน

 

 

4 สิ่งสุดยอดของปากกา S Pen ที่คุณควรรู้ใน Galaxy Note 4

 

Smart-select-note4-hero

 

หลังเราได้แกะกล่องรีวิว Samsung Galaxy Note 4  กันไปแล้ว มาดูในส่วนของรีวิวการใช้งานกันบ้าง ประเด็นแรกที่อยากจะนำเสนอเลยคือเรื่องของความสามารถในการใช้งานปากกา S Pen ซึ่งมีฟีเจอร์ใหม่ ที่ได้สรุปออกมาเป็น 4 สิ่งสุดยอดของปากกา S Pen ไว้เรียบร้อยแล้ว ลองไปดูกันว่ามันเจ๋งแค่ไหน

Screenshot_2014-10-08-16-21-54

 
1. ครอปภาพแล้วโยนลงใน Line ได้ทันที
ด้วยความสามารถของระบบมัลติวินโดวส์ใน Galaxy Note 4 ที่พัฒนาขึ้น บวกด้วยฟังก์ชั่น Smart Select บนปากกา S Pen ที่ให้เราสามารถครอปรูปจากในเว็บ, Facebook หรือแอพอะไรก็ตามที่เปิดอยู่บนหน้าจอ จากนั้นภาพก็จะถูกเก็บลงใน Clip Board ได้สูงสุด 10 ภาพ แล้วเราก็แค่ใช้ปากกาแตะค้างบนรูปที่ต้องการแล้วลากลงในแชต Line ที่กำลังสนทนาอยู่ ส่งไปให้เพื่อนได้เลย ง่ายมั้ยล่ะ วิธีการนี้ก็สามารถใช้กับแอพที่รองรับมัลติวินโดวส์ได้อีกหลายแอพเช่น Messages, Email, Evernote ฯลฯ
Smart-select-note4-01

 

2. รวบรวมไอเดียไว้ในสมุดภาพ (Scrapbook)
สำหรับนักสร้างสรรค์หรือครีเอทีฟทั้งหลายที่จะต้องค้นหาไอเดียใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เพียงแค่ค้นหาข้อมูลหรือไอเดียจาก Google แล้วครอปภาพที่ต้องการเก็บไว้ในคลิปบอร์ดจนครบตามต้องการ จากนั้นแตะบนคลิปบอร์ดแล้วแตะไอคอนสมุดภาพ หรือ Scrapbook แล้วแตะปุ่ม Save ภาพและข้อมูลต่างๆ ที่เราครอปไว้ก็จะถูกรวบรวมไว้เป็นสมุดภาพ และยังสามารถบันทึกข้อมูลหรือวาดเขียนไอเดียเพิ่มเติมแนบลงไปในแต่ละภาพได้อีกด้วย แถมภาพดังกล่าวยังมีลิงค์อ้างอิงแนบมาให้ด้วยโดยอัตโนมัติ ไว้ใช้อ้างอิงที่มา หรือค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้อีก

 

ตัวอย่างเช่น ช่วงนี้เห็นกระแส Infused Water น้ำหมักผลไม้กำลังฮิต ผมก็เลยลองหาขวดน้ำ Infused Water เก๋ๆ มาดูว่ามีแบบไหนบ้าง ซึ่งเราสามารถครอปแบบที่ชอบแล้วเก็บรวมรวมไว้ในสมุดภาพได้ทันที

Smart-select-note4-02

 

นอกจากนี้ยังสามารถแสดงผลไฟล์คลิปวิดีโอใน Youtube, เพลง, เว็บ ได้อีกด้วย ซึ่งทำให้เราสามารถครอป มีเดียต่างๆ ที่มาพร้อมลิงค์ เก็บไว้ดูในสมุดภาพดิจิตอลอันนี้ได้ทันที

 

3. แปลงข้อความในรูปให้เป็น Text
เป็นข้อดีของฟีเจอร์ Smart Select อีกแล้ว เมื่อเราครอปภาพที่มีข้อความแบบ Text บนหน้าเว็บติดมาด้วย เมื่อแชร์รูปดังกล่าวมาลงในแอพ S Note ระบบจะก็อปปี้ข้อความเหล่านั้นเก็บไว้ด้วย แล้วนำมาวางเป็นตัวอักษรลงใน Note ให้อัตโนมัติ โดยที่เราไม่ต้องพิมพ์ใหม่หรือคัดลอกจากหน้าเว็บนั้นมาอีกทีให้เสียเวลา ที่สำคัญคือรองรับทุกภาษา

Smart-select-note4-03

 

4. Photo Note แปลงภาพกลายเป็นโน้ต
ในแอพ S Note มีฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาคือ Photo Note ที่ให้เราถ่ายรูปการจดบันทึกบนกระดานในห้องเรียน หรือบันทึกรายงานการประชุมต่างๆ เอาไว้แล้วแปลงให้กลายเป็นบันทึกโน้ตดิจิตอล ที่เราสามารถแก้ไขและเพิ่มเติมรายละเอียดได้ โดยผมได้ลองใช้ Photo Note ถ่ายเอกสารดู ระบบก็สามารถแยกวัตถุระหว่างภาพกับตัวอักษรได้ โดยให้เราสามารถแตะค้างเพื่อย้ายหรือปรับขนาดได้หรือจะเขียนโน้ตเพิ่มเติมก็ทำได้เลย

Smart-select-note4-04

 

ชมคลิปสาธิตการใช้งาน Smart Select ในรูปแบบต่างๆ
[youtube link=”http://youtu.be/0ywUStNPlH4?list=PLhpbZcOKxtO1fUZ8J8ZjEPS8xrFvgqPIp” width=”590″ height=”315″]
 
 

[Sneak Preview] Nokia X สมาร์ทโฟนสายพันธุ์ X รันแอพ Android ได้ 100%

 

ได้ฤกษ์วางจำหน่ายแล้วสำหรับ Nokia X สมาร์ทโฟนแพลตฟอร์มใหม่ล่าสุดที่เป็นข่าวฮือฮาไปทั่วโลกจากงาน MWC2014 เมื่อต้นปีที่ผ่านมา วันนี้โนเกียประเทศไทยได้นำ Nokia X มาให้ชาวไทยได้สัมผัสกันแล้ว โดยเริ่มนำเฉพาะรุ่นเล็กอย่าง Nokia X เข้ามาก่อน โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 14 มีนาคม 57 ที่โนเกียช็อปทั่วประเทศ ในราคาเพียง 3,990 บ.

 

จุดเด่นของ Nokia X อยู่ตรงที่ระบบปฏิบัติการล่าสุดที่เรียกว่า Nokia X แพลตฟอร์ม ที่สามารถรันแอพพลิเคชั่นจากระบบปฏิบัติการ Android ได้อย่าง 100% โดยสามารถดาวน์โหลดได้ 2 ทางด้วยกัน คือ

1. Nokia Store โดยทางโนเกียจะทยอยนำแอพพลิเคชั่นจาก Android มาลงในสโตร์เพื่อให้ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลด
2. APK Install สามารถติดตั้งแอพจากไฟล์ .apk ซึ่งเป็นไฟล์แอพของ Android นั่นเอง

 

และที่สำคัญการดาวน์โหลดแอพจากโนเกียสโตร์บน Nokia X นั้น ไม่ต้องใส่แอคเคาท์ให้ยุ่งยาก ใครที่เป็นมือใหม่หัดเล่นสมาร์ทโฟนก็ไม่ต้องสมัครแอคเคาท์ให้ปวดหัวอีกต่อไปแล้ว อยากลงแอพไหนก็แตะดาวน์โหลดลูกเดียว อย่างได้แคร์

 

ส่วนแอพตัวไหนที่ต้องเสียเงิน ก็สามารถตัดเงินจากซิมการ์ดของเครือข่ายโทรศัพท์ที่รองรับได้เลย คาดว่าเบื้องต้นน่าจะร่วมมือกับดีแทคก่อน เหมือนบน Lumia ที่สามารถทำได้มาแล้ว

 

เอาล่ะครับได้ทราบจุดเด่นของ Nokia X ไปบ้างแล้ว เราไปชมภาพตัวเป็นๆ กันเลยดีกว่า

 

Nokia-X-02

บอดี้เหมือนกันโนเกีย Asha ที่ใช้วัสดุโพลีคาร์บอเนต จะวางขายทั้งหมด 5 สี คือ สีเขียวสด แดงสด ฟ้า เหลือง ดำและขาว

 

Nokia-X-03

กล้องหลัง ความละเอียด 3 ล้านพิกเซล แบบ Fix Focus

 

Nokia-X-04

พอร์ต Micro USB ไว้เชื่อมต่อข้อมูล และชาร์จแบตให้ตัวเครื่อง

 

Nokia-X-05

ปุ่มโวลุ่ม และปุ่มล็อคหน้าจอ/เปิดปิดเครื่อง อยู่ด้านขวาของตัวเครื่อง

 

Nokia-X-06

ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. อยู่มุมซ้ายบน

 

Nokia-X-12

ถอดกรอบฝาหลังออก โดยดันตรงกล้องแล้วแงะด้านบนของตัวเครื่องออกมา

 

Nokia-X-13

Nokia X สามารถใช้ได้ 2 ซิม แถมรองรับ 3G (ได้ซิมเดียว) และเพิ่มเมมด้วย Micro SD ได้สูงสุด 32 GB ส่วนแบตเตอรี่ความจุ 1500 mAh

 

Nokia-X-11

หน้าแรกถูกออกแบบให้เป็นการผสมผสานข้อดีของ ไทล์จาก Lumia Windows Phone และ Fastlane จาก Asha เข้าไว้ด้วยกัน

 

Nokia-X-15

แค่ปัดหน้าจอไปทางซ้ายหรือขวาก็จะเข้าสู่หน้า Fastlane ซึ่งเป็นช็อตคัทที่ใช้งานล่าสุด

 

Nokia-X-10

แอพพลิเคชั่นหลักจาก Android ที่ติดตั้งได้ 100% บน Nokia X

 

Nokia-X-07

หน้าตา โนเกียสโตร์ที่เริ่มทยอยนำแอพพลิเคชั่นจากแอนดรอยด์มาลงให้ดาวน์โหลด

 

Nokia-X-09

ยังมีแอพบางส่วนอย่าง Instagram ที่ไม่มีให้โหลดในโนเกียสโตร์ แต่สามารถใช้สโตร์เพื่อนบ้านอย่าง 1Mobile Market ที่มีแอพหลักๆ จากแอนดรอยด์ให้ดาวน์โหลด โดยไม่ต้องมีแอคเคาท์ได้อีกเช่นเดียวกัน

 

Nokia-X-14

ใช้งาน Instagram ได้ครบทุกฟังก์ชั่นเหมือนแอนดรอยด์เลย แต่อาจจะโหลดช้าบ้างเรื่องจากสเปกเครื่องรุ่นนี้ไม่ได้แรงมาก

 

Nokia-X-17

แตะลากจากด้านบนของหน้าจอลงมาเพื่อเปิดดูแถบแจ้งเตือนได้เหมือนแอนดรอยด์เลยนะครัสส… แถมมีปุ่มไอคอน Settings ให้เข้าสู่การตั้งค่าได้ทันที

 

Nokia-X-16

ลองติดตั้งเกม Flappy Bird ได้โดยไม่ต้องกรอกแอคเคาท์ใดๆ เลย

 

และนี้คือ Sneak Preview พรีวิว Nokia X แบบลับๆ ล่อๆ ให้ชมกันเบื้องต้นก่อนนะครับ ไว้ได้เครื่องมารีวิวแบบเต็มๆ เมื่อไร จะจัดเต็มในคอลัมน์ Review ให้สาสม

 

Unbox : แกะกล่อง Galaxy Note 3

เจ๊รู้นะคะว่า Galaxy Note 3 เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นหนึ่งที่หลายคนแอบรอคอยว่าเมื่อไหร่จะวางขาย ฉันจะรีบไปสอย … วันนี้ขายแล้วค่ะ ไปสอยกันมาได้เลย แต่…ถ้ายังตัดสินใจไม่ได้ กรุณาอ่านแกะกล่องของเจ๊ก่อนก็ยังไม่สายนะคะ เพราะเจ๊อุตส่าห์ฺแหกขี้ตาตื่นไปซื้อมาแต่เช้าเพื่อแฟนๆอันเป็นที่รักยิ่งของเจ๊ค่ะ เชิญทัศนาตามอัธยาศัย

 

note3_01
กล่อง ECO สไตล์เดียวกับ Galaxy S4 เลยจ้ะ
note3_02
นอนอยู่อย่างเรียบร้อย (อันนี้เจ๊เอาไปติดฟิล์มมาแล้วนะ)

 

note3_03
อุปกรณ์ทั้งหมดในกล่อง 1. ตัวเครื่อง 2. แบตเตอรี่ 3. คู่มือ และใบรับประกัน 4. หูฟัง พร้อมจุกยางหลายขนาด 5. สาย USB 6. อะแดปเตอร์ชาร์จไฟบ้าน 7. อุปกรณ์เปลี่ยนหัวปากกา S Pen

 

note3_04
จอสีสด และ เต็มตา ตามสไตล์ฺ Super AMOLED แต่ถ้าใครแสบตาอาจจะไม่ชอบก็ได้

 

note3_05
วัสดุด้านหลังตัวเครื่องเป็นพลาสติก ย้ำ!!! พลาสติกขึ้นลายหนัง (ไม่ใช่หนังเทียมใดๆ) เจ๊แอบเพลียตรงนี้ ถ้าเป็นหนังเทียมก็ยังดีกว่าพลาสติกแบบนี้นะ ดูหลอกลวงมากๆ และไม่สมราคาค่าตัวเอาเสียเลย

 

note3_06
ดูใกล้ๆ เหมือนหนังใช่ไหม…แต่ไม่ใช่นะจ๊ะ พลาสติกทั้งดุ้น

 

note3_07
ปากกา S Pen ใหม่

 

note3_08
แอพที่ติดเครื่องมา มีการจัดเป็นโฟลเดอร์ไว้ให้ด้วย

 

note3_09
ฟีเจอร์ Air Commard เมื่อดึงปากกา S Pen ออก ก็จะทำงานทันที

 

note3_10
จอใหญ่สะใจดีตอนถ่ายภาพ

 

note3_11
ยังถือได้ในมือ ไม่ใหญ่จนเกินไป

 

note3_12
ฝาหลังที่ดูผ่านๆก็สวยดี

สรุป

ตามภาพนะคะทุกท่าน กับราคาค่าตัว 23,500 บาท จอใหญ่ขึ้น ดีไซน์คล้ายๆเดิม ฝาหลังเป็นพลาสติกกัดลายหนัง (ไม่ใช่หนังเทียม) และ CPU Exynos 1.9 GHz Octa-core กับ RAM 3 GB ในเวอร์ชั่น 3G/WiFi ?ส่วนถ้าใครต้องการเวอร์ชั่นที่รองรับ 4G LTE ที่ใช้ CPU Snapdragon 800 คงต้องไปซื้อเครื่องหิ้วเครื่องนอกนะคะ

รีวิว LG Pocket Photo เครื่องพริ้นไร้หมึก คู่ใจสมาร์ทโฟน

ReviewLG_Pocket_Photo_13

วันก่อนไปร่วมงานเปิดตัว Optimus G Pro กับเค้ามา แล้วบังเอิญเหลือบไปเห็นเจ้าเครื่องพริ้นพกพาของ LG เข้า เลยสอบถามข้อมูลด้วยความอยากรู้ ถามไปถามมาคุณแบงค์เจ้าหน้าที่ของทาง LG ก็ได้ส่งเครื่องมาให้รีวิวลองเล่นเลยซะงั้น อิอิ เสร็จเรา….

สำหรับเจ้าเครื่องพริ้นพกพา LG Pocket Photo เครื่องนี้ ถือเป็นรุ่นที่ 2 แล้วที่ทาง LG ได้วางจำหน่ายในเมืองไทย โดยรุ่นที่ผมได้มาคือ PD233 ความสามารถของมันก็คือพริ้นภาพถ่ายขนาดเล็กคล้ายๆ กับภาพถ่ายจากกล้อง Fuji Instax Polaroid ที่นิยมกัน ซึ่งมันจะสามารถรองรับการพริ้นจาก iPhone, iPad, iPod และ Android Phone ได้โดยตรง ผ่านการเชื่อมต่อ Bluetooth โดยจะต้องดาวน์โหลดแอพที่ชื่อว่า Pocket Photo มาติดตั้งจึงจะสามารถสั่งพริ้นภาพออกมาได้

แกะกล่องเปิดซิง

ReviewLG_Pocket_Photo_01ReviewLG_Pocket_Photo_02

อุปกรณ์ทีให้มามีดังนี้

1. ตัวเครื่อง

2. สาย USB

3. อะแดปเตอร์

4. คู่มือ ภาษาอังกฤษ

5. Quick Reference Guide

6. ใบรับประกัน

7. กระดาษ Zink paper สำหรับพริ้น 1 แพ็ก มี 10 แผ่น

 

ดีไซน์กะทัดรัด

ReviewLG_Pocket_Photo_07

เริ่มต้นขอสำรวจเรื่องของดีไซน์ก่อนแล้วกัน ตัวที่ผมได้มาเป็นสีเงิน บนตัวบอดี้แอบสลักลายรูปหัวใจเล็กๆ เอาไว้ด้วย ดูเก๋ดีครับ ขอบด้านข้างตัวเครื่องเป็นสไตล์เมทาลิก ดูทันสมัย

ReviewLG_Pocket_Photo_03 ReviewLG_Pocket_Photo_04

 

เริ่มต้นใช้งาน

ReviewLG_Pocket_Photo_05
เลื่อนตัวล็อกเพื่อเปิดช่องใส่กระดาษ

 

ReviewLG_Pocket_Photo_06
ใส่กระดาษโดยหันด้านที่จะพิมพ์ขึ้น

 

สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือการใส่กระดาษพิเศษที่ให้่มา นั่นคือ Zink Paper โดยใส่เข้าไปพร้อมกับแผ่นกระดาษสีน้ำเงิน โดยคว่ำด้านบาร์โค้ดลงไปแล้วใส่ไว้ล่างสุด เมื่อสั่งพิมพ์ครั้งแรก ระบบจะอ่านบาร์โค้ดดังกล่าวเืพื่อเริ่มต้นการใช้งาน และจะดึงกระดาษสีน้ำเงินทิ้งออกไปเอง

 

เริ่มเปิดเครื่องกันเลย โดยกดปุ่ม Power ค้างไว้ 4 วินาที จนมีไฟติดสว่างขึ้นมา เสร็จแล้วก็เชื่อมต่อ iPhone ผ่านบลูทูธเสียก่อน แล้วค่อนเข้าสู่แอพ Pocket Photo

ReviewLG_Pocket_Photo_10
ไฟ Power ติดค้าง พร้อมใช้งาน

 

ReviewLG_Pocket_Photo_11
Pairing บลูทูธ โดยไม่ต้องใส่รหัสเลย ง่ายดี

 

จากนั้นก็เลือกรูปที่ต้องการจาก Camera Roll ได้เลย หรือจะถ่ายใหม่ก็ได้ เมื่อเลือกรูปได้แล้วยังสามารถใส่ฟิลเตอร์เพิ่มเติมได้อีก 16 แบบ (บน Android มีถึง 20 แบบ) หรือถ้ายังไม่ถูกใจ เราอาจจะเอารูปจาก Instagram มาพริ้นเลยก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถใส่ QR Code เพื่อเพิ่มข้อมูลเช่นชื่อภาพ เบอร์โทร หรืออีเมล์ เว็บไซต์ต่างๆ ไว้ใน QR Code ได้อีกด้วย หรือหากต้องการพริ้นแบบหลายๆ เฟรมในรูปเดียวกัน สามารถเลือกรูปแบบได้ตามต้องการ

Filter

ReviewLG_Pocket_Photo_12

เมื่อตกแต่งเรียบร้อยแล้วก็แตะสั่งพริ้นได้เลย จากนั้นรอไม่เกิน 45 วินาที ก็ได้ภาพออกมาทันที

ReviewLG_Pocket_Photo_14

 

 

สั่งพริ้นผ่าน NFC แตะปุ๊บพริ้นปั๊บ

สำหรับโทรศัพท์ Android ที่รองรับ NFC จะสามารถพริ้นภาพผ่าน NFC เพียงเอาเครื่องแตะกันก็สั่งพริ้นได้ทันที หรือจะเสียบสาย USB เพื่อสั่งพริ้นก็ได้ นอกจากนี้แอพบน Android ยังมีฟังก์ชั่นให้มากกว่า เช่น Photo Card กรอบรูปการ์ดในโอกาสต่างๆ, เพิ่มพิกัด GPS หรือแชร์ภาพไปยังสังคมออนไลน์อย่าง Facebook เป็นต้น

pocket_Photo_android
Photo Card เฉพาะบน Android

 

Share
แชร์รูปที่ตกแต่งไปยัง Facebook เฉพาะบน Android

 

อีกหนึ่งอวัยวะคู่ใจของ Smartphone

ถือว่าเป็นของเล่นใหม่ที่เหมาะและคู่ควรกับสมาร์ทโฟนในยุคนี้ที่มาพร้อมกล้องคุณภาพสูงขึ้นเรื่อย ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาไปอัดรูป แถมยังออกแบบในสไตล์ของตัวเองได้อีกด้วย แต่สำหรับสาวก Windows Phone คงต้องรอกันไปก่อนนะ เพราะยังไม่มีแอพรองรับออกมา

แบตเตอรี่เมื่อชาร์จเต็มสามารถพริ้นได้ประมาณ 15 แผ่น

Pocket Photo มีวางจำหน่าย 3 สี ชมพู, ส้ม, เงิน สนนราคา 4,990 บ.

ส่วนราคากระดาษ 1 กล่อง 30 แผ่น ราคา 399 บ. ตกแผ่นละประมาณ 13 บ.

สามารถหาซื้อได้ที่ ร้าน J Mart 12 สาขา

 

คลิปสาธิตการทำงานมาแล้ว คลิกดูเลย

[youtube link=”http://www.youtube.com/watch?v=9ygXxCLRhXc” width=”590″ height=”315″]

ขอขอบคุณ

บริษัท แอลจี (ประเทศไทย) จำกัด ที่เอื้อเฝื้ออุปกรณ์ในการทดสอบ

 

[Video] Asha 501 So…Chic 2 Sim ไม่สองใจ

 

nokia-asha-501-color-range resize

ตั้งแต่ Nokia Series N หายไปจากตลาดมือถือ เจ๊ก็มิเคยได้กลับไปจับ Nokia อีกเลย (ยกเว้น Lumia 920 ที่โผล่มาแว้บนึง) จนกระทั่งเจ้า Asha 501 ที่เพิ่งจะเปิดตัวไปหมาดๆถูกส่งมาถึงมือเจ๊นี่แหละ เอาเป็นว่ามาดูกันหน่อยดีกว่าว่าเจ้านี่มีอะไรเจ๋งๆให้เจ๊เล่นบ้างอะ

ระเบิดกล่อง

Asha 501 ถูกแพ็คนอนแอ้งแม้งมาในกล่องอย่างเรียบร้อยสง่างาม สีที่เจ๊ได้มาคือสีแดงแปร๊ดดดดสะท้อนแสงถูกใจเจ๊จุงเบย แต่ไม่ได้ถึงกับแดงเถือกนะ เป็นสีแดงในระดับความแซ่บที่ยกขึ้นมาโทร รับรองว่าเห็นไปยันปากซอยเลยทีเดียวเชียวล่ะ สรุปว่าอุปกรณ์ในกล่องที่ให้มามีดังนี้จ้ะหนุ่มๆสาวๆ

Review_Asha_501_01

1. ตัวเครื่อง + การ์ดหน่วยความจำแบบ microSD 4 GB (รองรับสูงสุด 32 GB)
2. แบตเตอรี่
3. คู่มือการใช้งาน และใบรับประกัน
4. สายชาร์จแบบวอลล์ชาร์จ
5. หูฟังสีเดียวกับด้านหลังตัวเครื่อง หากซื้อเครื่องสีอื่นก็จะได้หูฟังสีนี้เช่นกันไม่มีสีอื่นให้เลือก
* จริงๆมีทั้งหมด 6 สีด้วยกันคือ แดง เหลือง ฟ้า เขียว ขาว และดำ

ลองเล่น

• ตัวเครื่องและดีไซน์

Review_Asha_501_02
เรียกว่าดีไซน์มาน่ารัก สไตล์โมโนบล็อค เหมาะกับใช้มือเดียวได้อย่างถนัด ด้านหน้าของตัวเครื่องจะเป็นจอแสดงผล LCD ขนาด 3 นิ้วแถมเป็นกระจกแบบที่ทนรอยขีดข่วน Gorilla Glass ด้วยนะเออ มีปุ่มย้อนกลับมาให้ด้านล่างของหน้าจอ ส่วนฝาหลังสีสันแซ่บใจสามารถถอดเปลี่ยนได้หากเป็นคนขี้เบื่อ บวกกับมีกล้องถ่ายภาพความละเอียด 3.2 ล้านพิกเซลมาให้ ด้านข้าง (ขวา) จะมีปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง และปุ่ม power ด้านบนเป็นช่องเสียบสายชาร์จ สาย micro-USB และช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ตามมาตรฐานทุกอย่างเป๊ะ ประกอบได้แนบแน่นดีไม่มีกรอบแกรบเพราะตัวกรอบเป็นยูนิบอดี้ชิ้นเดียวจร้าาา ที่สำคัญใช้ได้ 2 ซิมนะคะคู๊ณณณณณ เลิศปะล่ะ

• ฟังก์ชั่นเด่น

Review_Asha_501_03 Review_Asha_501_04 Review_Asha_501_05
พอเปิดเครื่องมา แล้วเข้าสู่หน้าจอการใช้งานเท่านั้นเจ๊ก็ต้องร้องอู้ว!!! เพราะจัดหนักให้แอพพลิเคชั่นมาเพียบ ทั้งแอพเสริม และเกมส์ (โหลดเพิ่มได้)
ส่วนจุดเด่นที่โชว์หรามาเลยคือระบบ Fastlane หรือพูดง่ายๆว่าช่องทางด่วนนั้นแหละ คล้ายๆกับ Shortcuts โดยขณะอยู่ในหน้าจอพร้อมใช้ให้ปัดนิ้ว Swipe ไปทางขวาก็จะเจอกับ Fastlane ส่วนตัวของคุณ ซึ่งจะรวมแอพ หรือรายการที่สำคัญที่คุณใช้บ่อยๆเอาไว้ให้ โดย ซึ่ง Fastlane จะดึงข้อมูลมาจากการใช้งานของคุณนั่นแหละ เป็นไงฉลาดแมะ?

Review_Asha_501_08

นอกนั้นก็จะมีฟังก์ชั่นพื้นฐานสำหรับใช้งานทั่วๆไป อย่าง โทรศัพท์ รายชื่อ ข้อความ นาฬิกาปลุก ปฏิทิน บันทึกเสียง ฯลฯ ให้มาอย่างครบครัน ส่วนความบันเทิงเริงใจ แน่นอนว่าจัดเต็มกับ แกเลอรี่ ดูหนัง ฟังเพลง ฟังวิทยุ เกมส์ เรียกว่าแน่นจนสะใจเจ๊ หรือถ้ายังแน่นไม่พอ ก็ไปดาวน์โหลดเพิ่มได้เอง

• ถ่ายภาพ

Review_Asha_501_06
กล้องถ่ายภาพก็พอใช้ได้สมราคา สามารถตั้งค่าหน่วงเวลาถ่ายภาพ หรือปรับ White Balance ได้ จะขาดก็แต่ไม่มีแฟลชมาให้ (แต่จุดนี้เจ๊ก็ให้อภัย เพราะถึงมีแต่พอถ่ายภาพใช้แฟลชขึ้นมาทีไร เจ๊ไม่กล้าดูรูปตัวเองทุกที) อ๊ะๆ เค้ามีแอพถ่ายภาพ Camera 5 in 1 พร้อมเครื่องมือตกแต่งแสนเก๋มาให้ด้วย ไม่มี camera 360 ก็เอาไปใช้แทนขำๆก่อนได้

• ระบบเชื่อมต่อ

Review_Asha_501_07
จะ Wi-Fi b/g/n , Bluetooth 3.0, หรือ EDGE ก็มีมาให้หมด จะอยู่ที่ไหนก็ไม่พลาดการติดต่อแน่นอนจ้ะ รุ่นหน้าควรจะพ่วง 3G มาให้ด้วยแล้วนะคุณ Nokia

• แบตเตอรี่

ถือเป็นจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งเลยนะเจ๊ว่า เพราะปัจจุบันเราแทบจะต้องใช้โทรศัพท์กันเกือบตลอดเวลาเลยทีเดียว แบตยิ่งอึดก็ยิ่งได้เปรียบ Ahsa 501 เลยจัดแบตความจุ 1200 mAh มาให้ สามารถแสตนบายด์รับสายได้ 624 ชั่วโมง ย้ำ 624 ชั่วโมง!!! สนทนาโทรศัพท์ได้นาน 17 ชั่วโมง และเล่นเพลงได้นานถึง 56 ชั่วโมง เรียกว่าใช้กันจนลืมว่าชาร์จแบตครั้งที่แล้วตอนไหน ปรบมือให้เลยจ้ะ

• แอพพลิเคชั่น

Review_Asha_501_09
จัดเต็ม!! เพราะไม่ว่าจะ Facebook Line Twitter หรือเกม Asha 501 จัดมาให้แบบเต็มหน้าจอจ้ะ เลือกใช้กันได้ตามสบายอารมณ์

• ความคุ้มค่า

Review_Asha_501_10
หยิบราคามาดูแล้วก็ต้องรีบยกมือทาบอกด้วยความตกใจ เพราะวางขายในราคาแค่ 2,990 บาท เท่านั้น คุณพระ!!! เรียกว่าถ้าจะหาโทรศัพท์เครื่องแรกสำหรับใครที่ไม่ได้ต้องการโทรศัพท์อลังการดาวล้านดวงสเป็คแรงรุ่งพุ่งไปดาวพลูโต เพียงแค่อยากได้โทรศัพท์เครื่องเล็กๆ กะทัดรัด สีสันจัดจ้าน ดีไซน์น่ารัก พ่วงมาด้วยฟังชั่นครบครันทันสมัยแบบไม่เขินอาย หรือใครที่อยากได้โทรศัพท์เครื่องที่สองเอาไว้ใช้โทรออกรับสาย ถ่ายรูปเล่น ฟังเพลงชิวๆ แบตถึกทน ใช้ได้ 2 ซิม 2 เบอร์ว่ารักแถบ (แบบว่ารักเธอ) รีบไปคว้ามาเลยนะ คุ้มจริง!!! เจ๊พูดเลย

สรุปผลคะแนน

• ดีไซน์และการประกอบ เอาไป 7.5 แต้ม
• ฟังก์ชั่น ฟีเจอร์ เอาไป 7.5 แต้ม
• ประสิทธิภาพการใช้งาน เอาไป 7.5 แต้ม
• ความคุ้มค่าและราคา เอาไป 8 แต้ม
• รวม 7.7 แต้ม

เจ็ขอแซว

ไหนๆก็อุตส่าห์ให้ microSD มาแล้ว เจ๊ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า Nokia จะใจดีเพิ่มสาย micro USB มาให้ซักนิ๊ดดดดเถอะนะ แล้วเจ๊จะให้จุ๊บ 3 ทีเลยเอ้า!!!

รีวิวโดย : เจ้ปลวก

ท้ายนี้เรามีวิดีโอรีวิวมาให้ดูกันด้วย

[youtube link=”http://www.youtube.com/watch?v=RwBuBvhifbg” width=”590″ height=”315″]

[Video] รีวิว Nokia Asha 310 ทั้ง Line, Facebook, Twitter ครบครัน ในราคาสุดคุ้ม

ถ้าพูดถึงสมาร์ทโฟน หลายคนคงนึกถึง iPhone หรือไม่ก็ Android Phone กันเป็นอันดับแรก แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่หลายคนอาจจะเือื้อมไม่ถึง โดยเฉพาะนักเรียน นักศึกษา ที่ยังไม่มีรายได้เป็นของตัวเอง แต่ก็ไม่อยากตกเทรนด์ วันนี้ผมมีทางเลือกให้มาแล้วครับ กับ Nokia Asha 310 ที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการ S40 และแอพพลิเคชั่นครบครัน อย่าง Facebook, Line และ Twitter อีกทั้งยังแถมเกมฟรีๆ จากค่าย EA ให้อีก 40 เกม รองรับ Wi-Fi, Bluetooth และเชื่อมต่อเน็ตผ่านซิมด้วยความเร็วสูงสุดระดับ EDGE ซึ่งนี่เป็นส่วนหนึ่งของคุณสมบัติที่ทุกคนจำเป็นต้องใ้ช้ ในราคาสบายกระเป๋าเพียง 3,150 บ. เท่านั้น อยากรู้ว่ามันใช้งานได้จริงหรือไม่ ไปชมคลิปวิดีโอกันเลยครับ

[youtube link=”http://www.youtube.com/v/DPwY_Mmd_rU?fs=1″ width=”590″ height=”315″]